
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Supinya Klangnarong ระบุว่า ...เมื่อคืนวันเสาร์ 12 กันยายน 2563 ได้มีโอกาสไปร่วมงานแซยิดครบรอบวันเกิด 72 ปี ของพี่ประสาร มฤคพิทักษ์ ณ โรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซค์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พี่ประสารเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เราเคารพ ทั้งเพราะว่ารู้จักกันมานานและเคยช่วยเหลือเราในอดีตช่วงที่ถูกฟ้องร้องด้วย ซึ่งพี่ประสารก็น่ารักเชิญมิตรมาหลากหลาย แม้จะมีความเห็นต่างทางการเมืองกันก็ตาม ในงานบรรยากาศสบายๆ แม้จะมีการปราศรัยบนเวทีบ้างสลับการอวยพรวันเกิดโดย อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ คุณอานันท์ ปันยารชุน อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี พี่รสนา โตสิตระกูล เป็นต้น
ประเด็นดราม่าเล็กๆที่ตามมาคือมีภาพถ่ายในงานเลี้ยงซึ่งมีทั้งคุณอานันท์ ปันยารชุน พี่เปี๊ยก พิภพ ธงไชย สุริยะใส กตะศิลา พี่ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ และอีกมากมาย ในฐานะที่เป็นคนนั่งอยู่ด้วยในเหตุการณ์จนเหลือห้าคนสุดท้าย ก่อนโรงแรมปิดไฟไล่ ส่วนตัวเรารู้สึกดีกับบรรยากาศในคืนนั้นมาก
แน่นอนหลายฝ่าย หลายท่านย่อมไม่สบายใจกับภาพที่ได้เห็น เพราะขัดกับอุดมการณ์ความเชื่อว่าฝ่ายเสื้อเหลือง ไม่ควรมาสังสรรค์กับฝ่ายเสื้อแดง ภาพในอดีตที่แต่ละฝ่ายเคลื่อนไหวยังตามมาย้ำเตือน แต่ข้อเท็จจริงคือ บุคคลในภาพนั้นรู้จักกันมานานมาก มีความทรงจำร่วมตั้งแต่ช่วงพฤษภา พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยากจะลืมเลือนเช่นกัน มิตรภาพที่ยังคงอยู่ยาวนาน แม้ว่าความตึงเครียดหลายปีทีผ่านมาจะทำให้แต่ละฝ่ายไม่อยากออกจากพื้นที่ comfort zone อันปลอดภัยของตัวเองมาปะทะส้งสรรค์กัน ส่วนหนึ่งก็ต้องเกรงใจมวลชน แม้ว่าภายในใจลึกๆ แต่ละคนไม่เคยเกลียดชังกันเลยก็ตาม
จากที่รู้จักทุกท่านในวงวันนั้นมายาวนานเกือบจะ 25 ปี และ ได้อยู่ในวงแบบนี้เมื่อก่อน 16 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลายาวนานนับสิบกว่าปี เราได้เห็นรายละเอียดความสัมพันธ์ การพูดคุย มิตรภาพ ความหวังถึงสังคมที่ดีงามและเป็นธรรมที่เป็นหัวข้อการสนทนามาโดยตลอด แม้ว่าต่อมาแต่ละฝ่ายจะมีทางเดินของตนเองสุดโต่งกันไปคนละขั้ว หนึ่งในอดีตสมาชิกสำคัญของวงนี้อีกท่านคืออาจารย์จรัล ดิษฐาอภิชัย ที่ตอนนี้ลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส จำได้ว่าวันที่เกิดเหตุ 9/11 เมื่อปี ค.ศ. 2001 หลายท่านในวงคืนวันเสาร์เคยนั่งกินข้าวคุยกันที่ร้านแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วเราได้ดูการถ่ายทอดสดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดด้วยกันด้วยความตกใจตื่นตระหนก ในงานเลี้ยงเมื่อคืนวันเสาร์พี่ตู่ จตุพรยังพูดถึงเรื่องนี้อีก จำได้ไม่ลืมจริงๆ ย้อนกลับไปส่วนตัวก็ชอบบรรยากาศในห้วงเวลานั้นมาก คือช่วงหลังพฤษภาคมปี พ.ศ. 2535 ต่อด้วยช่วงก่อนและหลังรณรงค์รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 ที่ขบวนการภาคประชาสังคมเข้มแข็งมีธงเขียวร่วมกัน อบอุ่น งดงาม เป็นความโชคดีที่เราเริ่มทำงานในห้วงเวลานั้นพอดี จึงรู้จักแกนนำสำคัญของแต่ละฝ่าย จนต่อมาสถานการณ์พลิกผันเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ในแง่อุดมการณ์ทางการเมือง เราเป็นคนหัวอ่อน บางครั้งก็เห็นด้วย บางครั้งก็ไม่เข้าใจทั้งสองฝ่ายและส่วนตัวก็ไม่ได้มีอุดมการณ์การเมืองเข้มข้นอะไร เลยถอยห่างจากทั้งสองฝ่ายมาทำงานของตัวเอง แม้จะได้เจอกันเป็นระยะๆตลอดสิบปีที่ผ่านมาแบบบรรยากาศมันอึดอัดอึมครึม แต่ในงานเมื่อคืนวันเสาร์ รู้สึกเหมือนบรรยากาศในอดีตที่เราคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง แม้จริงๆไม่ได้เป็นความตั้งใจของผู้จัดงาน แต่ธรรมชาติและความเป็นอนิจจังของโลกคงนำพา
ไม่ใช่ทุกเรื่องจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดเสมอไป แต่บางครั้งมันคือความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งความเข้มแข็ง และ อ่อนแอ หยิ่งทรนง และ อ่อนโยน มีพลังฮึกเหิม และ เงียบเหงาในหัวใจ สำคัญสุดคือเมื่อแต่ละคนผ่านกาลเวลาและบาดแผลอันเจ็บปวด ผ่านคุกผ่านตาราง ได้เห็นวงจรหมุนวนไม่จบสิ้น รวมถึงวัยที่อาวุโสกันมากขึ้นแล้ว ทำให้สิ่งที่เรากลับมาโหยหาคือมิตรภาพ ความเมตตา และ ความเป็นมนุษย์ต่อกัน
แม้ว่าบรรยากาศเมื่อคืนวันเสาร์จะครื้นเครงด้วยการแซวกันบ้างวิจารณ์กันบ้าง แต่จากที่รู้จักทุกคนในวันนั้น เราสัมผัสได้ถึงความรวดร้าวลึกๆในหัวใจเช่นกัน เชื่อว่าทุกท่านตั้งคำถามถึงสิ่งที่ตนเองได้ผ่านมันมา และ เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบันทั้งด้วยความตื่นตาตื่นใจและห่วงใย ทุกท่านที่ผ่านสนามรบกันมาทุกเหตุการณ์คงได้นั่งทบทวนทั้งในมุมที่ดีงามและผิดพลาด ถ้าหลายท่านสามารถปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา และ สามารถกอดกันได้ คงทำไปแล้ว แต่บางครั้งบางสิ่งก็ปิดกั้นการแสดงออกของความเป็นมนุษย์บีบอัดอยู่ภายในอาภรณ์ของความเข้มแข็งและสิ่งที่เรียกว่าความเป็นผู้ชาย (กระมัง)
ที่เขียนมาไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากบอกว่า เหนือความขัดแย้งทางการเมืองก็คือมิตรภาพที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมมันถึงลึกซึ้งและยั่งยืน คำพูดหนึ่งที่เราได้ยินพี่ตู่จตุพรคุยกับสุริยะใส ก็คือห่วงความรุนแรงที่จะเกิดกับผู้ชุมนุม เพราะเราไม่อยากเห็นการสูญเสียอีกแล้ว แม้คงไม่ได้เห็นด้วยกับข้อเสนอทั้งหมดของน้องๆที่นำการเคลื่อนไหว แต่ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านสนามรบทางการเมืองมาแล้ว ทั้งสองคนเข้าใจดีว่าทำไมน้องๆถึงมาถึงจุดนี้ และอาจจะไปสู่จุดไหนต่อไป ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายด้วยดี ไม่มีเหตุให้ต้องเกิดความรุนแรงกับใครอีก เช่นเดียวกับความห่วงใยของหลายท่านในงานเลี้ยงวันนั้น เสียงส่วนใหญ่จึงสะท้อนไปที่ผู้มีอำนาจรัฐให้ประคับประคองสถานการณ์ให้ดี และ คงไม่มีมือที่สามมาสร้างสถานการณ์จนเป็นชะนวนไปสู่ความรุนแรง สุดท้าย ไม่ว่าจะสู้รบกันอย่างไร สังคมนี้มันก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่คงเดิมอยู่ได้ ไม่ควรมีใครต้องสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อจากความเชื่อทางการเมือง นอกจากนั้น ความยึดมั่นถือมั่นถ้ามันจะทำให้ตัวเราทุกข์ก็วางมันลงบ้าง ซึ่งไม่ได้หมายความเราต้องละทิ้งอุดมการณ์การต่อสู้ แต่ประคับประคองความเป็นมนุษย์ที่เปราะบางให้ใจสงบเบิกบานได้
สำหรับพี่ตู่ และ ยะใส
แม้จะยังเห็นต่างกัน แต่ยิ้มให้กันได้ ไม่เคยคิดจะทำร้ายกัน ห่วงใยกันลึกๆ เราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักระหว่างพี่ชายกับน้องชาย ที่ต่างต้องทำหน้าที่ในสนามรบของตัวเอง แต่ยังมีความอาทรต่อกัน นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้เสมอมา ไม่อยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหนที่ได้เห็นสองคนนั่งคุยกันแบบผู้ใหญ่ที่ผ่านชีวิตกันมาโชกโชน มันนานมากแล้วสำหรับเราที่ได้อยู่ในบรรยากาศนี้ แม้ว่าวันรุ่งขึ้นต่างต้องกลับไปสู้รบขับเคี่ยวในมุมของตัวเอง
....โลกนั้นจะอาจจะกว้างใหญ่ขึ้น แต่ทางที่เดินกลับแคบลงไปทุกที ....
แด่มิตรภาพและความเป็นมนุษย์
ปล. ขอบคุณพี่ประสาร Prasarn Marukpitak ที่ชวนไปงานนี้นะคะ
September 16, 2020 at 07:09AM
https://ift.tt/32wTUi4
'สุภิญญา'ย้อนเล่าที่มาดราม่าภาพถ่าย'จตุพร-ภิภพ'ร่วมโต๊ะ ชี้ไม่ใช่ทุกเรื่องเป็นทฤษฎีสมคบคิด - สยามรัฐ
https://ift.tt/2ZXuIAi
Home To Blog
No comments:
Post a Comment